ในพาร์ทแรกเราพูดถึงคอนเซ็ปต์ของ Subtext และทำความเข้าใจอย่างคร่าวๆ ไปแล้ว พาร์ทสองนี้เราจะมาดูตัวอย่างเพื่อทำความเข้าใจกับ Subtext ให้มากขึ้นกันครับ
การมอง subtext นั้นไม่มีคำตอบที่ผิดหรือถูก และแต่ละคนไม่จำเป็นต้องตีความของแอคติ้งออกมาเหมือนกัน เสน่ห์ของแอคติ้งตรงนี้คือการแสดงของตัวละครที่สะท้อนความรู้สึกกับคนดูแต่ละคนได้ไม่เหมือนกัน แต่ให้ความรู้สึกไปในทางเดียวกัน
Subtext Example 01
ในเรื่อง The Incredible ตอนที่ Helen มาต่อว่า Bob ที่เขาไม่ได้ไปงานเลื่อนชั้นเรียนของลูกชาย ท่าทางของ Bob ตอนที่พูดว่า It’s not a graduation. He is moving from the 4th grade to the 5th grade เขาจีบนิ้วแล้วขยับเพียงนิดเดียว เสมือนกับลูกแค่ขยับจากจุดเล็กๆ ตรงนี้ไปที่จุดเล็กๆ อีกจุดนึง ตรงนี้ก็ถือว่าเป็น subtext เล็กๆ ที่บอกว่ามันก็แค่เลื่อนชั้นเรียนแค่นั้นเอง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ถึงแม้ว่าบทพูดนี้ เพียงแค่ฟังอย่างเดียวเราก็พอจะบอกได้ถึง subtext แล้ว แต่ท่าทางของเขาอันนี้ก็ช่วยเสริมให้สิ่งที่เขาพูดชัดเจนขึ้นไปอีก
Subtext Example 02
A: Umm, have a nice night.
B: Hey… What! Where are you going?
A: I’m going home.
B: What! I never wanna hear you say that again. Owwww
B: You’re single now. Okay? You do not go home.
งานชิ้นนี้เป็นบล็อคกิ้งของผมเองครับ เมื่อเราดูท่าทางของตัวละคร เทียบกับสิ่งที่เขาทั้งสองพูดแล้ว จะเห็นว่าทั้งสองทำตามสิ่งที่พูดแบบตรงๆ ทำให้ช็อตนี้เป็นช็อตที่ไม่มี subtext เลย
ตัวละครผู้หญิงสีชมพูไม่ได้แสดงออกอะไรเลยนอกจากบอกว่าจะกลับบ้านด้วยการโชว์บัตรเดินทางรถไฟฟ้าพร้อมกับบอกว่าจะกลับบ้าน ซึ่งมันตรงตัวเลย ถ้าเราคิดถึงความรู้สึกของเขา และแรงบัลดาลใจ(Motivation) ที่เขาอยากกลับบ้าน เขาอาจจะอยากกลับบ้านเพราะว่าเศร้า เหนื่อยแล้วอยากอยู่คนเดียว หรือจริงๆ แล้วอาจจะรำคาญเพื่อนเลยบอกลาแบบสุภาพ ไม่ก็เขาอาจจะแค่เหนื่อยแล้วบอกว่าเพื่อนว่าเธอไปต่อคนเดียวไหวมั้ย เท่านี้แอคติ้งของเธอก็จะซับซ้อนขึ้นมาแล้วครับ
ส่วนตัวละครผู้หญิงอีกตัวก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลยว่าทำไมถึงไม่อยากให้เพื่อนกลับบ้าน ตั้งแต่คำว่า what ที่พูดออกมาด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้คิดหรือรู้สึกอะไรต่อคำตอบที่เพื่อนบอกว่าจะกลับบ้าน คำว่า What!? ตรงนี้ถ้าเราลองนึกดูดีๆ ว่าเขารู้สึกยังไงกับคำตอบของเพื่อน เราสามารถให้เขาแสดงออกอารมณ์อย่างอื่นได้ นอกจากแค่ตกใจกับคำตอบ เขาอาจจะไม่เชื่อคำตอบที่เพิ่งได้ยิน ลองพูดแล้วคิด subtext นี้ตามดูนะครับ หรือเขาอาจจะผิดหวังหรืออาจจะคิดว่าเฮ้ย ล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย
ตัวเลือกแอคติ้งช้อยของเขาที่เข้าไปแย่งบัตรรถไฟฟ้าก็ตรงตัวกับคำพูดอีกว่า “I never wanna hear you say that again” ซึ่งจากบริบทของช็อตก็แปลอีกอย่างนึงได้ว่าไม่อยากให้กลับบ้าน ทำให้แอคติ้งช่วงนี้ไม่มีมิติเหมือนกัน ส่วนช่วง You do not go home นี้ก็ยิ่งชัด และตรงตัวไปอีก
จริงๆ เราสามารถเพิ่มมิติเข้าไปให้กับช็อตนี้ได้ โดยให้ผู้หญิงคนผอมอาจจะไม่อยากให้เพื่อนกลับไปเศร้าคนเดียวที่บ้านเลยเดินเข้ามาปลอบด้วยควมเป็นห่วง หรือเราอาจจะให้เขาแอบชอบเพื่อนเสื้อชมพูแทนก็ยังได้
Subtext Example 03
A: Price is… twenty five, twenty five dollars.
A: The horn is my whole life mister.
เมื่อมาดูงานชิ้นนี้เราสามารถเข้าใจช็อตนี้ได้ถึงแม้ว่าจะปิดเสียงดูทีเดียว เพราะว่า subtext นั้นชัดมาก จากลักษนะที่เขาจับ และลูบเครื่องดนตรีของเขาหลังจากพูดประโยคแรกบ่งบอกถึงความผูกพันธ์ที่เขามีต่อเครื่องดนตรี แล้วเขาก็กอดมันเหมือนไม่อยากจะปล่อยมันไป เพราะสำหรับเขามันมีค่ามากกว่า 25 เหรียญมาก หรือที่จริงแล้วเขาไม่อยากขายมันด้วยซ้ำไป
Subtext Example 04
ตัวอย่างต่อไปมาดูคาแรคเตอร์ที่แสดงในซีนนี้ ถึงแม้ว่าทั้งซีน เอมม่า สโตน กำลังโมโห แต่เมื่อเราสังเกตจะเห็นว่าแม้กระทั้งอารมณ์โกรธอย่างเดียวก็สามารถแสดงออกได้หลายอย่างว่าสิ่งที่เขากำลังโมโหนั้น เขารู้สึกกับเรื่องที่เขากำลังพูดอยู่อย่างไร และเขากำลังพยายามจะบอกอะไรกับพ่อของเขา
Subtext ไม่ได้อยู่แค่ที่ท่าทางเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่อารมณ์สีหน้าอีกด้วย
Nobody gives a shit but you. And
let’s face it, Dad, you’re not doing this for the sake
of art. – Stop and let me explain
You’re doing this because you wanna feel
relevant again. – Sarcastic
Well, guess what, there’s an entire
world out there where people fight to be
relevant every single day. – let me break this down for you
And you act like it
doesn’t even exist! – Mocking
Things are happening
in a place that you ignore – Straight at his face
a place that by the way has already forgotten about you. Sympathy while she’s smiling, Amuse
I mean who the fuck are you? – Really cold to his face
You hate bloggers. You
mock twitter. You don’t even have a
Facebook page. You’re the one who doesn’t
exist. – Disbelieve that he’s not on facebook or twitter
You’re doing this because you’re
scared to death, like the rest of us, that
you don’t matter. – Amuse
And you know what?
You’re right. You don’t. It’s not
important, OK? You’re not important. Get used
to it. – Straight forward anger – you disgust me
oh what did I do…
ฝากคลิปสุดท้ายให้ดู และวิเคราะห์กันนะครับ
คนไข้โรคมะเร็งคนนี้เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมาตลอด แล้วเขาเชื่อว่าตัวเองสามารถเอาชนะมะเร็งได้ จนกระทั้งได้รับการผ่าตัดแล้วพบว่ามะเร็งได้ลามไปทั่วแล้ว และเขามีเวลาอีกไม่กี่เดือน สุดท้ายแล้วความพยายามของเขาดูจะไม่มีความหมายเลย ซีนนี้ตัวละครกำลังเริ่มยอมรับกับความเป็นจริงที่ตัวเองเผชิญหน้ามาตลอด ในขณะที่เขาพูดประโยค Not Fair ตั้งแต่คำแรก และพูดคำเดิมซ้ำๆ ความหมายของมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
สำหรับคนที่สนใจเพิ่มเติมไปชมคลิปนี้ต่อได้ครับ เขา breakdown ให้ดูอย่างละเอียด