ในพาร์ทแรกเราพูดถึงคอนเซ็ปต์ของ Subtext และทำความเข้าใจอย่างคร่าวๆ ไปแล้ว พาร์ทสองนี้เราจะมาดูตัวอย่างเพื่อทำความเข้าใจกับ Subtext ให้มากขึ้นกันครับ

การมอง subtext นั้นไม่มีคำตอบที่ผิดหรือถูก และแต่ละคนไม่จำเป็นต้องตีความของแอคติ้งออกมาเหมือนกัน เสน่ห์ของแอคติ้งตรงนี้คือการแสดงของตัวละครที่สะท้อนความรู้สึกกับคนดูแต่ละคนได้ไม่เหมือนกัน แต่ให้ความรู้สึกไปในทางเดียวกัน


Subtext Example 01

The Incredibles 2004

ในเรื่อง The Incredible ตอนที่ Helen มาต่อว่า Bob ที่เขาไม่ได้ไปงานเลื่อนชั้นเรียนของลูกชาย ท่าทางของ Bob ตอนที่พูดว่า It’s not a graduation. He is moving from the 4th grade to the 5th grade เขาจีบนิ้วแล้วขยับเพียงนิดเดียว เสมือนกับลูกแค่ขยับจากจุดเล็กๆ ตรงนี้ไปที่จุดเล็กๆ อีกจุดนึง ตรงนี้ก็ถือว่าเป็น subtext เล็กๆ ที่บอกว่ามันก็แค่เลื่อนชั้นเรียนแค่นั้นเอง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ถึงแม้ว่าบทพูดนี้ เพียงแค่ฟังอย่างเดียวเราก็พอจะบอกได้ถึง subtext แล้ว แต่ท่าทางของเขาอันนี้ก็ช่วยเสริมให้สิ่งที่เขาพูดชัดเจนขึ้นไปอีก


Subtext Example 02

A: Umm, have a nice night.

B: Hey… What! Where are you going?

A: I’m going home.

B: What! I never wanna hear you say that again. Owwww

B: You’re single now. Okay? You do not go home.

งานชิ้นนี้เป็นบล็อคกิ้งของผมเองครับ เมื่อเราดูท่าทางของตัวละคร เทียบกับสิ่งที่เขาทั้งสองพูดแล้ว จะเห็นว่าทั้งสองทำตามสิ่งที่พูดแบบตรงๆ ทำให้ช็อตนี้เป็นช็อตที่ไม่มี subtext เลย

ตัวละครผู้หญิงสีชมพูไม่ได้แสดงออกอะไรเลยนอกจากบอกว่าจะกลับบ้านด้วยการโชว์บัตรเดินทางรถไฟฟ้าพร้อมกับบอกว่าจะกลับบ้าน ซึ่งมันตรงตัวเลย ถ้าเราคิดถึงความรู้สึกของเขา และแรงบัลดาลใจ(Motivation) ที่เขาอยากกลับบ้าน เขาอาจจะอยากกลับบ้านเพราะว่าเศร้า เหนื่อยแล้วอยากอยู่คนเดียว หรือจริงๆ แล้วอาจจะรำคาญเพื่อนเลยบอกลาแบบสุภาพ ไม่ก็เขาอาจจะแค่เหนื่อยแล้วบอกว่าเพื่อนว่าเธอไปต่อคนเดียวไหวมั้ย เท่านี้แอคติ้งของเธอก็จะซับซ้อนขึ้นมาแล้วครับ

ส่วนตัวละครผู้หญิงอีกตัวก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลยว่าทำไมถึงไม่อยากให้เพื่อนกลับบ้าน ตั้งแต่คำว่า what ที่พูดออกมาด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้คิดหรือรู้สึกอะไรต่อคำตอบที่เพื่อนบอกว่าจะกลับบ้าน คำว่า What!? ตรงนี้ถ้าเราลองนึกดูดีๆ ว่าเขารู้สึกยังไงกับคำตอบของเพื่อน เราสามารถให้เขาแสดงออกอารมณ์อย่างอื่นได้ นอกจากแค่ตกใจกับคำตอบ เขาอาจจะไม่เชื่อคำตอบที่เพิ่งได้ยิน ลองพูดแล้วคิด subtext นี้ตามดูนะครับ หรือเขาอาจจะผิดหวังหรืออาจจะคิดว่าเฮ้ย ล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย

ตัวเลือกแอคติ้งช้อยของเขาที่เข้าไปแย่งบัตรรถไฟฟ้าก็ตรงตัวกับคำพูดอีกว่า “I never wanna hear you say that again” ซึ่งจากบริบทของช็อตก็แปลอีกอย่างนึงได้ว่าไม่อยากให้กลับบ้าน ทำให้แอคติ้งช่วงนี้ไม่มีมิติเหมือนกัน ส่วนช่วง You do not go home นี้ก็ยิ่งชัด และตรงตัวไปอีก

จริงๆ เราสามารถเพิ่มมิติเข้าไปให้กับช็อตนี้ได้ โดยให้ผู้หญิงคนผอมอาจจะไม่อยากให้เพื่อนกลับไปเศร้าคนเดียวที่บ้านเลยเดินเข้ามาปลอบด้วยควมเป็นห่วง หรือเราอาจจะให้เขาแอบชอบเพื่อนเสื้อชมพูแทนก็ยังได้


Subtext Example 03

Shot by Shao Yu Hsu

A: Price is… twenty five, twenty five dollars.

A: The horn is my whole life mister.

เมื่อมาดูงานชิ้นนี้เราสามารถเข้าใจช็อตนี้ได้ถึงแม้ว่าจะปิดเสียงดูทีเดียว เพราะว่า subtext นั้นชัดมาก จากลักษนะที่เขาจับ และลูบเครื่องดนตรีของเขาหลังจากพูดประโยคแรกบ่งบอกถึงความผูกพันธ์ที่เขามีต่อเครื่องดนตรี แล้วเขาก็กอดมันเหมือนไม่อยากจะปล่อยมันไป เพราะสำหรับเขามันมีค่ามากกว่า 25 เหรียญมาก หรือที่จริงแล้วเขาไม่อยากขายมันด้วยซ้ำไป


Subtext Example 04

ตัวอย่างต่อไปมาดูคาแรคเตอร์ที่แสดงในซีนนี้ ถึงแม้ว่าทั้งซีน เอมม่า สโตน กำลังโมโห แต่เมื่อเราสังเกตจะเห็นว่าแม้กระทั้งอารมณ์โกรธอย่างเดียวก็สามารถแสดงออกได้หลายอย่างว่าสิ่งที่เขากำลังโมโหนั้น เขารู้สึกกับเรื่องที่เขากำลังพูดอยู่อย่างไร และเขากำลังพยายามจะบอกอะไรกับพ่อของเขา

Subtext ไม่ได้อยู่แค่ที่ท่าทางเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่อารมณ์สีหน้าอีกด้วย

Birdman

Nobody gives a shit but you. And
let’s face it, Dad, you’re not doing this for the sake
of art. – Stop and let me explain

You’re doing this because you wanna feel
relevant again. Sarcastic

Well, guess what, there’s an entire
world out there where people fight to be
relevant every single day. let me break this down for you

And you act like it
doesn’t even exist! – Mocking

Things are happening
in a place that you ignore Straight at his face

a place that by the way has already forgotten about you. Sympathy while she’s smiling, Amuse

I mean who the fuck are you? – Really cold to his face

You hate bloggers. You
mock twitter. You don’t even have a
Facebook page. You’re the one who doesn’t
exist. – Disbelieve that he’s not on facebook or twitter

You’re doing this because you’re
scared to death, like the rest of us, that
you don’t matter. – Amuse

And you know what?
You’re right. You don’t. It’s not
important, OK? You’re not important. Get used
to it. – Straight forward anger – you disgust me

oh what did I do…


ฝากคลิปสุดท้ายให้ดู และวิเคราะห์กันนะครับ

Grey’s Anatomy

คนไข้โรคมะเร็งคนนี้เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมาตลอด แล้วเขาเชื่อว่าตัวเองสามารถเอาชนะมะเร็งได้ จนกระทั้งได้รับการผ่าตัดแล้วพบว่ามะเร็งได้ลามไปทั่วแล้ว และเขามีเวลาอีกไม่กี่เดือน สุดท้ายแล้วความพยายามของเขาดูจะไม่มีความหมายเลย ซีนนี้ตัวละครกำลังเริ่มยอมรับกับความเป็นจริงที่ตัวเองเผชิญหน้ามาตลอด ในขณะที่เขาพูดประโยค Not Fair  ตั้งแต่คำแรก และพูดคำเดิมซ้ำๆ ความหมายของมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป


สำหรับคนที่สนใจเพิ่มเติมไปชมคลิปนี้ต่อได้ครับ เขา breakdown ให้ดูอย่างละเอียด